หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร อายุ ๑๐๖ ปี
ศึกษาประวัติ เก็บสะสมด้วยความศรัทธา คิดว่าหายากเกจิที่มีประวัติ ดีและผ่านอาไรมาเยอะและ กราบได้อยา่งสนิทใจ และ ปัจจุบันปี2559 อายุ 106 ปี
หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร อายุ ๑๐๖ ปี แห่งสำนักสงฆ์ดอนสวรรค์ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เดิมท่านชื่อ นายสิงห์ ป้องคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา พ.ศ.๒๔๕๔ ณ หมู่บ้านหนองกรุงใหญ่ จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อ นายสิทธิ์ ป้องคำ มารดาชื่อ นางสม ป้องคำ เมื่อวัยเยาว์ บิดามารดาหลวงปู่ได้ฝากหลวงตาเรียนที่โรงเรียนวัดใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ตั้งใจฝักใฝ่เรียนและชอบศึกษาด้านธรรมะ ซึ่งผิดแปลกกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป
เมื่อวัยหนุ่มท่านก็ได้ชอบศึกษาวิชาไสยเวท และได้ศึกษาวิชาหมอแคนมหาเสน่ห์ ซึ่งหมอแคนสมัยนั้นจะมีมนต์เมื่อเป่าแคนแล้วจะให้คนที่รับฟังเกิดหลงใหล ซึ่งเป็นวิชาโบราณอีสานที่มีข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามกินกบกินเขียด ๓ ปี และครูแรงมาก
พอถึงสมัยนั้นช่วงสงครามโลก หลวงปู่ก็ได้ออกรับใช้ชาติ เป็นทหารเมื่อพ.ศ.๒๔๘๒ ณ กองพันทหารราบที่ ๒๖ (หน่วยรบพิเศษ) อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ออกสงครามรับใช้ชาติเสี่ยงอันตรายนานา ในช่วงที่ทหารญี่ปุ่นและฝ่ายพันธมิตรใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่รบกัน แต่ก็แคล้วคลาดด้วยของดีด้วยวิชาที่ท่านศึกษาเล่าเรียนมา
อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ที่วัดป่าห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี โดยมี พระครูสุนทร สุจิตโต (เจ้าคณะอำเภอโขงเจียม) เป็นผู้บวชให้ และได้มาศึกษาธรรมกรรมฐาน กับหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ซึ่งท่านก็เมตตามอบวิชาดี และอยู่กับท่าน ๔ ปี ก็ขอตัวลาปลีกวิเวกเสาะหาศึกษาธรรม อยู่กับพระอาจารย์สาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งหลวงปู่ท่านมีความเคารพและศรัทธา จึงได้มาพบหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ฝึกจิตกรรมฐานกับท่านหลายปี จึงขอตัวออกธุดงค์ ไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เพื่อพบหลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยสงฆ์แห่งภาคเหนือ เพื่อฝึกจิตและท่านหลวงปู่แหวนก็พาท่านเดินธุดงค์ฝึกจิตกรรมฐาน พบเรื่องราวแปลกมากๆ ในป่า แถบภาคเหนือ
เมื่อฝึกจิตกรรมฐานภาวนากับหลวงปู่แหวนหลายปีแล้ว หลวงปู่สิงห์ทองจึงกราบลา ออกธุดงค์ ข้ามป่าเขากลับมาที่ภาคอีสาน ที่ อ.โขงเจียม ข้ามไปประเทศลาว ได้ไปพบอาจารย์คาโก (ชาวเขาจอมขมังเวทย์) ในป่าอยู่นานหลายปี ได้ศึกษาวิชาไสยเวท เพื่อติดตัวมาสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์ ต่อจากนั้นท่านจึงธุดงค์อยู่ในป่าสักพัก ก่อนกลับอีสานตลอดทางกลับพบเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติมากมาย ซึ่งหลวงปู่ท่านบอกมากก็ไม่ได้ มันผิดพระธรรมวินัยเหมือนอวดอุตริ ท่านก็มาจำพรรษา สร้างวัดบำรุงเคหสถานที่รกร้างมากมาย ให้เป็นวัด เช่น วัดถ้ำป้อง อ.โขงเจียม, วัดบ้านไร่ อ.ศรีเชียงใหม่ วัดบ้านบาก อ.ศรีเชียงใหม่ วัดถ้ำ อ.หนวงบัวแดง วัดศิริ อ.เดชอุดม และได้เดินทางไปอยู่ภาคใต้ ที่วัดในเกาะสมุย อีก ๓ ปี วัดเตาถ่าน จ.จันทบุรี ๓ ปี ก่อนมาอยู่วัดป่าธรรมวิเวก (ซับตารี) อ.สอยดาว จ.จันทบุรี
หลวงปู่สิงห์ทองเป็นพระที่ไม่ติดลาภยศสักการะ ท่านเป็นพระลูกวัดไม่มียศตำแหน่ง “ท่านบอกว่า มีก็เป็น ทุกไม่มีมันก็เป็นทุก เราเป็นสงฆ์ก็อยู่อย่างนี้แหละ” ท่านจึงอยู่แบบสันโดษ ไม่ยุ่งข้องเกี่ยวกับผู้ใด อยู่สงเคราะห์ญาติโยม ทหาร ตำรวจ พ่อค้าแม่ขาย ที่เคารพนับถือ ทำบุญกับท่าน ท่านก็เมตตาให้ของดีเป็นที่ระลึก
“วัตถุมงคลหลวงปู่สิงห์ทองมีเรื่องเล่าของแม่ค้าผู้ทำธุรกิจขานปากต่อปาก ด้านโชคลาภการเงินค้าขายดี และแคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งมีประสบการณ์ตรงจากทหารตำรวจในพื้นที่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เป็นที่เสาะหาของเหล่าศิษยานุศิษย์มากขึ้น ”
ในโอกาสที่หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร อายุครบ ๑๐๕ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นที่ระลึกให้ลูกหลานได้บูชาติดตัวเพื่อเป็นสิริมงคล ครบตำรา มนต์เทวดาบันดาลทรัพย์ ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ข้ามวันข้ามคืนโดยไม่หลับไม่นอน ตลอดการทำพิธีปลุกเสก
หลวงปู่สิงห์ทองให้เหตุผลว่า การที่จะเสกวัตถุมงคลของสูงให้เข้มขลังนั้น ยิ่งดึกยิ่งเงียบยิ่งเกิดสมาธิ วัตถุมงคลนั้นถึงจะได้ดี เทวดาช่วยเสก บันดาลโชคลาภตามที่ปรารถนาได้